Wednesday, April 27, 2011

หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง มรณะภาพแล้วแต่แล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย‏

พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง
หลวงพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง




พระเจดีย์บรรจุสรีระพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง


หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง มรณะภาพแล้วแต่แล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย‏




พระครูภาวนาภิรมย์ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง นับว่าเป็นอริยะสงฆ์แดนทักษิณอีกองค์หนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ตลอดชีวิตร้อยกว่าปีของท่านมีแต่เมตตาธรรมต่อผู้ที่ได้ไปกราบท่าน





สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้น ขนาดพ่อท่านคล้าย แห่งวัดสวนขัน ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้งเสมอ เช่นว่า มีชาวบ้านจาก อ.ร่อนพิบูลย์ไปกราบพ่อท่านคล้าย พอท่านทราบว่ามาจากร่อนพิบูลย์ ท่านก็จะกล่าวว่า “ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้ง(หลวงพ่อคลิ้ง)ให้พรดีเหมือนเหมือนฉัน” หรือ แม้แต่พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา ก็ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้ง อยู่เสมอ






ประวัติ พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง




หลวงพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง



พระครูภาวนาภิรมย์ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง นับว่าเป็นอริยะสงฆ์แดนทักษิณอีกองค์หนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ตลอดชีวิตร้อยกว่าปีของท่านมีแต่เมตตาธรรมต่อผู้ที่ได้ไปกราบท่าน





ประวัติพ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง

เกิด 29 สิงหาคม พ.ศ.2429

บรรพชา พ.ศ.2435 ขณะอายุ 8 ปี

อุปสมบท พ.ศ.2447 ขณะอายุ 20 ปี

ละสังขาร 21 มกราคม พ.ศ.2533

รวมสิริอายุ 104 ปี 84 พรรษา
ประวัติหลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง


“หลวงพ่อคลิ้ง จันทสิริ” เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นพระเถระที่มีวิชาอาคมอีกรูปหนึ่ง นอกจากนี้หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทองท่านยังมีอายุยืนนานถึง ๑๐๔ ปี เพราะพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และมรณภาพใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยออกบวชเป็นสามเณรขณะอายุ ๘ ขวบ แล้วก็ครองเพศเป็นบรรพชิตมาตลอดจวบกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต หากนับพรรษาต่อเนื่องตั้งแต่บวชเป็นสามเณรกระทั่งเป็นพระภิกษุ “หลวงพ่อคลิ้ง” ก็จะครองพรรษาได้ถึง ๙๖ พรรษา เลยทีเดียว





พระเจดีย์(พิพิธภัณฑ์พ่อท่านคลิ้ง)
วัดถลุงทอง เป็นวัดที่เงียบสงบอยู่ห่างจากถนนเอเชียสายหลัก ระหว่างร่อนพิบูลย์-นครศรีธรรมราช เข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่านสวนผลไม้ ไร่นาและบ้านของชาวบ้าน บริเวณวัดสงบร่มเย็น อยู่ใกล้กับเทือกเขา ชาวบ้านบริเวณนั้นจะนับถือพ่อท่านคลิ้งมาก เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อทุกๆคน


พระเจดีย์(พิพิธภัณฑ์พ่อท่านคลิ้ง) บรรจุสรีระพ่อท่านคลิ้ง

พระเจดีย์บรรจุสรีระพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง






บริเวณวัดถลุงทอง

ส่วนทางด้านเรื่องราวอภินิหารของ “พ่อท่านคลิ้ง” ที่จะนำมาเล่าขานวันนี้เป็นเรื่องราวของพระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง “เหรียญรูปเหมือนพ่อท่านคลิ้ง หลัง ภปร” ซึ่งจัดเป็นเหรียญ ที่อุดมด้วยสิริมงคลเพราะจัดสร้างในวาระฉลองอายุครบ ๙๓ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ โดย “พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคล” หรือ “เสด็จพระองค์ชายใหญ่” พระโอรสของ “จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวง ลพบุรีราเมศวร์” อดีตผู้สำเร็จราชการมณฑลทักษิณ พร้อมทั้งได้กราบบังคมทูล พระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญตราสัญลักษณ์ “พระปรมาภิไธยย่อ ภปร” ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญจึงนับเป็นสิริมงคลอันสูงสุด ดังที่ทราบ กันดีในวงการนักสะสมว่าวัตถุมงคลที่มีความเกี่ยวเนื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รัชกาลปัจจุบันล้วนเป็นที่นิยม ต่อนักสะสมซึ่งถึงแม้ว่า ขั้นตอนการสร้าง “เหรียญของพ่อท่านคลิ้ง” รุ่นนี้ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” มิได้เสด็จฯทรงประกอบพิธีแต่ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อ “พ่อท่านคลิ้ง” ได้ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิม “โลหะธาตุมหามงคล” แล้วพระราชทานให้นำมาหล่อหลอมผสมกับแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ของ “พ่อท่านคลิ้ง” นับเป็นร้อย ๆ แผ่นและโลหะสัมฤทธิ์เก่าสมัยบ้านเชียงที่มีอายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี รวมถึงโลหะสัมฤทธิ์อันเป็น ชิ้นส่วนของพระพุทธรูปโบราณหลายสมัย เช่น ลพบุรี, ทวารวดี, สุโขทัย ฯลฯ




สรีระพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง


ประวัติ พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง




หลวงพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง




พระเจดีย์บรรจุสรีระพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง



ประวัติพ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง

เกิด 29 สิงหาคม พ.ศ.2429

บรรพชา พ.ศ.2435 ขณะอายุ 8 ปี

อุปสมบท พ.ศ.2447 ขณะอายุ 20 ปี

ละสังขาร 21 มกราคม พ.ศ.2533

รวมสิริอายุ 104 ปี 84 พรรษา





ประวัติพ่อท่านคลิ้ง จันทศิริ วัดถลุงทอง



พ่อท่านคลิ้ง เป็นคณาจารย์ที่อายุยืนนานอีกองค์หนึ่ง พระเครื่อง วัตถุมงคลที่ท่านได้เมตตาปลุกเสกเอาไว้มีหลายชนิด เช่น เหรียญ ลูกอมชานหมาก พระปิดตาเนื้อผงผสมว่าน วัตถุมงคลพ่อท่านคลิ้งท่านเด่นทางด้าน เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ แคล้วคลาด







พระเจดีย์(พิพิธภัณฑ์พ่อท่านคลิ้ง)



วัดถลุงทอง เป็นวัดที่เงียบสงบอยู่ห่างจากถนนเอเชียสายหลัก ระหว่างร่อนพิบูลย์-นครศรีธรรมราช เข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่านสวนผลไม้ ไร่นาและบ้านของชาวบ้าน บริเวณวัดสงบร่มเย็น อยู่ใกล้กับเทือกเขา ชาวบ้านบริเวณนั้นจะนับถือพ่อท่านคลิ้งมาก เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อทุกๆคน





บริเวณวัดถลุงทอง สงบเงียบร่มเย็น



สรีระพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง




เหรียญพ่อท่านคลิ้ง ภปร
เหรียญรูปเหมือน พ่อท่านคลิ้ง หลัง ภปร



และจากพิธีสร้างที่ดีเยี่ยมนี้เองจึง เป็นเหรียญพ่อท่านคลิ้ง ที่มีประสบการณ์มากมายอย่างเช่น “นายสุนทร บุญชอุ่ม” ชาวตำบลคานโพธิ์ อ.เมือง จ.สตูล ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเขานั้นมีอาชีพเป็น “ไต้ก๋งเรือ” ประมงขนาดเล็กที่ออกหาปลาในแถบ “ทะเลอันดามัน” โดยมีลูกเรือเพียง ๕ คน ซึ่งช่วงที่พบประสบการณ์นั้น “นายสุนทร” จำได้แม่นว่าเป็นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เพราะเป็นฤดูมรสุมทางภาคใต้โดยขณะนำเรือออกหาปลาช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ปรากฏคลื่นขนาดยักษ์ถล่มเรือประมงของเขาอับปางลง “นายสุนทร” พร้อมลูกเรือต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางโดย “นายสุนทร” ที่เคยเป็นลูกเรือมาก่อนจึงช่วยเหลือตัวเองด้วยการเกาะเศษไม้จากเรือที่ อับปางคอยพยุงตัวเองลอยคออยู่กลางทะเลถึง “๒ วัน ๒ คืน” โดยขณะนั้นได้แต่ภาวนาให้ “พ่อท่านคลิ้ง” ช่วยเหลือเนื่องจากในคอแขวน “เหรียญพ่อท่านคลิ้งหลัง ภปร” เพียงเหรียญเดียว กระทั่งเช้าตรู่วันที่สาม ขณะจวนจะหมดแรงอยู่แล้ว ก็มีเรือประมงขนาดใหญ่มาช่วยไว้และหลังจากฟังเรื่องราวของ “นายสุนทร” ทุกคนบนเรือประมงที่มาช่วยต่างสงสัยไปตาม ๆ กันว่า “นายสุนทร” รอดได้อย่างไรเพราะเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวประมงหากเรือประมงขนาดเล็ก อับปางลงยังกลางทะเล ยากที่จะมีคนรอดได้แม้จะเก่งด้านว่ายน้ำแค่ไหนก็ตาม เพราะการว่ายน้ำข้ามวันข้ามคืนจะทำให้หมดแรงไปเองซึ่งตัว “นายสุนทร” เองก็ไม่รู้เช่นกันว่ารอดได้อย่างไรเพราะช่วงที่ลอยคออยู่ในทะเลนั้น คลื่นแรงมากปะทะหน้าอกเจ็บระบมไปหมดจึงได้แต่ภาวนาขอให้ “เหรียญพ่อท่านคลิ้ง ภปร” ที่แขวนอยู่ในคอช่วยแล้วกัดฟันว่ายน้ำไป



รูปถ่ายพ่อท่านคลิ้ง ในพระเจดีย์ วัดถลุงทอง

รูปถ่ายพ่อท่านคลิ้ง ในพระเจดีย์ วัดถลุงทอง

ส่วนอีกเรื่อง “นายฉลอง สง่าวงศ์” อาชีพทำไร่อยู่บ้านเลขที่ ๕๕๑ หมู่ ๔ ต.ไร่ใหม่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เล่าว่าตัวเขาชนะคดีความพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องที่ดิน จึงถูกเพื่อนบ้านผู้นั้นเจ็บแค้นมาตลอด วันหนึ่งในเดือน มิ.ย. ๒๕๔๗ เวลาประมาณสามทุ่มเศษ ขณะ “นายฉลอง” เดินไปตามถนนในหมู่บ้านที่ทั้งมืดและเปลี่ยวปรากฏมีมือปืนมาซุ่มยิงด้วย “ปืนลูกซองกระสุนลูกโดด” (ปกติลูกซองจะเป็นกระสุนลูกปราย) สองนัดปรากฏว่าลูกกระสุนโดนลำตัวนายฉลองอย่างจังแต่นายฉลองกลับไม่เป็นอะไร มือปืนจึงยิงอีก ๒ นัด แต่กระสุนปืนก็ทำอะไรนายฉลองไม่ได้เช่นเคย มือปืนที่ซุ่มยิงจึงวิ่งเข้าหานายฉลองแล้วใช้ด้ามปืนตีท้ายทอยนายฉลอง ที่ยืนงงอยู่กับที่ถึงกับสลบเหมือดแล้วมือปืนจึงหนีไป กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีคนมาพบจึงพยุงนายฉลองกลับบ้าน ปรากฏว่านายฉลองโดนยิงลำตัวถึง ๓ นัด แต่กระสุนไม่เข้าเป็นเพียง “รอยช้ำแดง” เท่านั้นนายฉลองจึงเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะ พระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง“เหรียญพ่อท่านคลิ้ง หลัง ภปร” ที่ใส่ตลับสเตนเลสแขวนคอไว้เพียงเหรียญเดียวช่วยไว้....'แฉ่ง บางกระเบา'


.......................................................................


พระครูภาวนาภิรมย์ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง



สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปกราบไหว้ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง ถ้ามีโอกาสลองแวะเข้าไปกราบไหว้สรีระพระอริยะสงฆ์แดนทักษิณ ดูนะครับเพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

ขอบคุณ ข้อมูลจาก
http://www.tumsrivichai.com/

Tuesday, April 26, 2011

ปลูกข่าเหลือง

"ข่าเหลือง" พืชสมุนไพรไทยที่ นางสัมภาษณ์ อยู่สุ่ม เกษตรกรวัย 43 ปี แห่ง ต.บ้านนา อ.กะเปอร์ จ.ระนอง บนพื้นที่ 3 ไร่ เป้าหมายเพื่อสร้างรายได้เสริมหลังว่างเว้นจากการทำสวนทุเรียน ลองกองและกาแฟ ปัจจุบันกลายเป็นพืชที่สร้างรายได้หลัก ใช้เวลาปลูกเพียง 6 เดือน สร้างรายได้หักค่าใช้จ่ายแล้วไร่ละกว่าแสนบาท แถมการลงทุน การดูแลน้อยกว่า ขณะที่ความต้องการของตลาดเปิดกว้าง และมีอนาคตที่สดใส




การปลูก "ข่าเหลือง" ของนางสัมภาษณ์นั้น เธอเล่าว่าเกิดขึ้นเมื่อปี 2540 เพื่อปลูกไว้กินเองบนเนื้อที่ไม่ถึงงาน แต่ผลผลิตกลับได้มาก ทำให้มีส่วนเหลือพอที่จะนำไปขายในตลาดซึ่งได้ราคาดี จึงเกิดแนวคิดที่จะปลูกเป็นรายได้เสริมจากการทำสวนลองกอง สวนทุเรียน และสวนกาแฟ ในปีต่อมาบนพื้นที่ 8 ไร่ โดยได้รับการสนับสนุนต้นพันธุ์จากสำนักงานเกษตรจังหวัดระนอง



หลายๆ คนไม่เชื่อว่าการปลูกข่าเหลือง จะสามารถทำรายได้ได้มากถึงไร่ละกว่าแสนบาท นางสัมภาษณ์ ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะหากเกษตรกรปลูกตามคำแนะนำของผู้ที่มีความรู้ ด้วยระยะปลูก 50x50 เซนติเมตร บนพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ถึง 6,400 กอ หลังปลูก 6-8 เดือนจะขุดเฉลี่ยกอละ 1.5 กิโลกรัม และจะได้ผลผลิตทั้งไร่ประมาณ 9,600 กิโลกรัม



"จะขายกิโลกรัมละ 15-18 บาท ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด และตั้งแต่ปลูกมาเกือบ 10 ปี จะมีรายได้ไร่ละ 144,000 -172,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะมีเงินเหลือไร่ละแสนเศษ" นางสัมภาษณ์ เผยและว่า การปลูกข่าเหลือง 1 ไร่ เมื่อเทียบแล้วจะสร้างรายได้ได้ดีกว่าปลูกกาแฟ 3 ไร่



ความที่ "ข่าเหลือง" มีสีสวย อวบอ้วน เนื้อนุ่ม ไม่มีเสี้ยน อีกทั้งรสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป นางสัมภาษณ์ บอกว่า จึงทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดสูง ทั้งใช้เป็นอาหาร แปรรูป หรือแม้กระทั่งใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอาง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันนี้



"เติบโตได้ดีในสภาพดินร่วนปนทราย น้ำไม่ท่วม ดูแลรักษาไม่ยาก ลงทุนต่ำ โรคและแมลงรบกวนน้อย ให้ผลตอบแทนเร็ว เพียงเวลา 6-8 เดือน ก็ขุดจำหน่ายได้ เวลานี้เพื่อนเกษตรกรเกือบทั้งตำบลปลูกข่าเหลืองกันมาก รวมเนื้อที่แล้วไม่ต่ำกว่าพันไร่ แต่ผลผลิตที่ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด" นางสัมภาษณ์ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ



ขณะที่ นายประสิทธิ์ เทวโลก พ่อค้าข่าเหลือง บอกว่า มีพ่อค้าแม่ค้าไปรับซื้อพืชผักของ ต.บ้านนา วันละ 7-10 คันรถปิกอัพ กระจายกันไปขายในหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต กระบี่ พังงา กรุงเทพฯ ในส่วนของตนรับซื้อและส่งขายที่ชุมพรและกรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 2-3 เที่ยว ด้วยความมั่นใจว่าอนาคตพืชสมุนไพรชนิดนี้จะไปได้ดี จึงหันมาปลูกเองด้วยบนพื้นที่ 36 ไร่



ปัจจุบันข่าเหลืองเป็นพืชเศรษฐกิจพื้นบ้านที่สำคัญของ ต.บ้านนา โดย นายชิงชัย เพชรพิรุณ เกษตรจังหวัดระนอง ยืนยันว่าเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สภาพดินฟ้าอากาศของจังหวัด เกษตรกรปลูกง่ายไม่จำเป็นต้องใช้หลักวิชาการมากนัก ลงทุนต่ำ ให้ผลตอบแทนต่อไร่สูง ทำรายได้เร็ว ดังนั้นสำนักงานเกษตรจังหวัดจึงได้ส่งเสริม และสนับสนุนต้นพันธุ์แก่เกษตรกร ใน 4 อำเภอ 1 กิ่ง 234 ราย จำนวน 93,600 ต้น



ด้าน นายศรัณย์ จันทร์ดี นายอำเภอกะเปอร์ เสริมว่า ข่าเหลืองของ ต.บ้านนา มีคุณภาพดี เนื้อเหลือง รสชาติไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป ที่สำคัญในการปลูกเกษตรกรไม่ใช้สารเคมี จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากสารพิษ พร้อมกับฝากถึงผู้ที่สนใจในรายละเอียด ติดต่อที่สำนักงานเกษตรอำเภอกะเปอร์ โทร 0-7789-7125

การปลูกตะไคร้หอม การปลูกตะไคร้ขาย แนะวิธี การปลูกตะไคร้เพื่อการค้า

“ตะไคร้” จัดเป็นพืชผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งที่ปลูกและดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะถ้าปลูกในสภาพดินร่วนปนทรายจะดีที่สุด กลุ่มผู้ปลูกตะไคร้ตัดใบ โดยมี คุณอานัน ม่วงคำ เป็นหัวหน้ากลุ่มฯ บ้านเลขที่ 49/2 หมู่ 9 ต.หนองหลวง อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร โทร. 08-9270-5140 มีอาชีพปลูกตะไคร้ตัดใบมานานเกือบ 10 ปี ปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มฯ ประมาณ 30 ครัวเรือน มีพื้นที่ปลูกตะไคร้ประมาณ 120 ไร่ ถือเป็นแหล่งผลิตตะไคร้ตัดใบที่ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศและผลผลิตจะส่งแบบ ตะไคร้แห้งให้โรงงานเพื่อนำไปผลิตเป็น “ชาใบตะไคร้” เพื่อส่งไปขายยังหลายประเทศทั่วโลก




ในการปลูกตะไคร้ตัดใบของกลุ่ม ผู้ปลูกตะไคร้ตัดใบจะเริ่มต้นด้วยการเตรียมดินด้วยการไถแปรและไถดะให้ดิน เรียบ หลังจากนั้นให้ทำเทือกเหมือนกับการทำนาโดยการปล่อยน้ำให้ท่วมแปลงประมาณ 1 คืบมือ จากนั้นใช้รถไถเดินตามติดผาน คราดให้ดินเรียบที่สุด เมื่อปรับดินเรียบร้อยแล้วปล่อยน้ำขัง 1 คืน วันรุ่งขึ้นปล่อยน้ำออกจากแปลง
 
 ในการเตรียมต้นพันธุ์ให้ใช้ต้นตะไคร้ที่ปลูกไว้นานเฉลี่ย 8-10 เดือน ซึ่งมีลักษณะลำต้นอวบอ้วน เกษตรกรจะทำการขุดทั้งกอแล้วแยกเป็นต้น ๆ นำมาตัดรากและใบทิ้งและนำไปปลูกได้ทันที (เกษตรกรบางรายอาจจะเอาไปแช่น้ำไว้ก่อน 2-3 วันเพื่อให้ต้นตะไคร้ออกรากมาใหม่จึงนำไปปลูก) วิธีการปลูกเหมือนกับการดำนา ปักต้นตะไคร้ลงตรง ๆ ลึกประมาณ 1-2 นิ้ว ใช้ระยะปลูก 15x15 เซนติเมตร หรือ 20x20 เซน ติเมตร ให้ปักต้นตะไคร้หลุมละ 1 ต้นเท่านั้น
 
พื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะปลูกต้นตะไคร้ได้ประมาณ 10,000-15,000 ต้น ถ้าคำนวณเป็นน้ำหนักจะใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากปลูกตะไคร้ไปแล้วเกษตรกรจะต้องให้น้ำทุก 5-7 วัน วิธีการให้ส่วนใหญ่จะให้แบบปล่อยน้ำเข้าแปลง ต้นตะไคร้จะเริ่มตั้งตัวได้เมื่อต้นมีอายุได้เฉลี่ย 7-10 วันหลังปลูก ให้หว่านปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) เหมือนกับการหว่านปุ๋ยในนาอัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยเคมีจะต้องหว่านเป็นประจำทุกเดือนโดยใช้สูตร 46-0-0 สลับกับสูตรเสมอ 16-16-16




ต้นตะไคร้จะเริ่มตัดใบขายได้หลังจากปลูก ไปแล้วเพียง 1 เดือน หลังจากนั้นจะตัดได้ทุกเดือนตลอดทั้งปีเหมือนมีเงินเดือนประจำจะเริ่มตัดใน ช่วงเวลาเช้าพอช่วงสาย ๆ จะหยุดนำเอาใบตะไคร้ที่ตัดมารวมกองไว้เป็นจุด ๆ มัดฟ่อนแล้วเอาเข้าร่ม ในการเก็บเกี่ยวถ้ามีการจ้างแรงงานจะคิดค่าเก็บเกี่ยวเป็นน้ำหนักกิโลกรัมละ 70 สตางค์



คุณอานันจะมีการประกันการรับซื้อใบตะไคร้แห้งจากสมาชิก ในกลุ่มฯ ในราคากิโลกรัมละ 12.50 บาท ในพื้นที่ปลูกตะไคร้ 1 ไร่ ในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งจะได้ใบตะไคร้แห้งเฉลี่ย 300-500 กิโลกรัม (ใบตะไคร้สดหนัก 100 กิโลกรัม ได้ใบตะไคร้แห้งประมาณ 25 กิโลกรัม) การปลูกตะไคร้มีการดูแลรักษาไม่ยุ่งยากโรคแมลงน้อยและมีต้นทุนในการผลิตต่ำ.



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Tuesday, April 5, 2011

วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี

… พระเมตตาคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์จัดเป็น อัปปมัญญา คือไม่จำกัดขอบเขต ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ถือเขาถือเรา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้น คนไทยทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะเป็นชาวเขาชาวเรา ชาวพุทธชาวมุสลิมต่างก็รักในหลวง วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี เป็นสักขีพยานที่ดีในเรื่องพระเมตตาคุณไม่จำกัดขอบเขตนี้














…วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้เฒ่าวัย ๙๒ ปี แห่งอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เล่าว่า เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งมาตามที่บ้านบอกให้เขาไปพบในหลวง ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ อำเภอสายบุรี วาเด็ง ปูเต๊ะจึงได้เฝ้าในหลวงเป็นครั้งแรก เขาเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ดังนี้



“ตอน นั้นผมทราบแล้วว่า เป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า เพราะว่า นุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่า ถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ผมบอกท่านว่า คลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขตตำบลแป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที อำเภอศรีสาคร ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ ผมก็ตอบท่านไปว่า มี ๔ เกาะ ท่านก็ชมว่าเก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย แล้วบอกว่า ผมรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่ผมบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว …ในหลวงคุยกับผมเป็นภาษามลายู ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี คุยกันก็เข้าใจเลย พอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับผมเป็นพระสหาย ผมบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไปทั้งหมดเป็นความจริง พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป ”

วาเด็ง ปูเต๊ะ





โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)



————————————







เมื่อวันที่ 26 กันยายน บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช นายวาเด็ง ปูเต๊ะ หรือ “เป๊าะเด็ง” อายุ 93 ปี หรือที่รู้จักในนาม “พระสหายแห่งสายบุรี” พระสหายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินทางโดยเครื่องบินจากบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมาลงนามถวายพระพร





ทั้งนี้ นายอับดุลเลาะ อาแว หลานชายของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ซึ่งเดินทางมาด้วยกัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลและแปลภาษา บอกว่า ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 09.00 น. เมื่อมาถึงสนามบินดอนเมืองก็เดินทางโดยรถยนต์มาที่ศาลาศิริราช 100 ปี วันนี้เป๊าะเด็งเลือกสวมชุดซาฟารีสีกรมท่า และติดเข็มตราสัญลักษณ์ครองราชย์ 60 ปี ที่อกเสื้อด้านขวา และใช้วิธีลงนามถวายพระพรด้วยการพิมพ์นิ้วโป้งมือข้างขวาลงบนสมุดลงนามถวายพระพร แล้วให้ตนเขียนชื่อวาเด็งกำกับอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถเขียนภาษาไทยได้



หลังจากนายวาเด็งแสดงความเคารพต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว พระสหายแห่งสายบุรีก็เผยความรู้สึกเป็นภาษายาวี โดยมีหลานชายเป็นคนแปลให้ ว่า ทราบข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรจากทางโทรทัศน์ รู้สึกตกใจมาก หลังจากทราบข่าวก็สวดดูอาร์ขอพรจากพระเจ้าหลังละหมาดทุกครั้ง เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหายจากพระอาการประชวร
พระสหายแห่งสายบุรี


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้นำอะไรมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีโอกาสมาร่วมถวายพระพรหรือไม่ นายวาเด็ง ตอบว่า “ตอนแรกตั้งใจจะนำทุเรียนและลองกองที่ปลูกไว้ในสวนอย่างละ 3 ต้น มาทูลเกล้าฯ ถวาย แต่เสียดายที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ผลไม้ไม่ออกผลตามฤดูกาล” “ไม่ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3-4 ปีแล้ว ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวร บอกไม่ถูกว่าเป็นห่วงอย่างไร แต่อยากมาเข้าเฝ้าฯ บ่อยขึ้น วันนี้ที่ได้มาลงนามถวายพระพรก็รู้สึกเหมือนได้พบพระพักตร์แล้ว คิดถึงและเป็นห่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก เมื่อรู้ว่าจะได้มากรุงเทพฯ เพื่อถวายพระพรรู้สึกตื่นเต้น นอนไม่หลับ ตนและภรรยาก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคชราเช่นกัน จึงตั้งใจว่าจะพักอยู่กรุงเทพฯ ต่ออีก 1-2 วัน และหากเป็นไปได้อยากอยู่รอจนถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ จากนั้นจึงค่อยเดินทางกลับบ้านที่ จ.ปัตตานี ส่วนที่ได้ฉายา “พระสหายแห่งสายบุรี” นั้น ส่วนตัวเห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีใจและภาคภูมิใจที่สุดอย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้” นายวาเด็งกล่าว


สำหรับ “วาเด็ง ปูเต๊ะ” หรือ “เป๊าะเด็ง” เป็นพระสหายแห่งสายบุรี แม้ในวัย 93 ปี แต่ความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณไม่เคยเสื่อมคลาย ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 15-16 ปีที่แล้ว ขณะที่ “เป๊าะเด็ง” กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้นได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ผู้เฒ่าเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี “วันนั้น เป๊าะ กำลังทำสวนอยู่กับภรรยา (นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ) บริเวณประตูน้ำบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอเป็นป่าทึบ ก็มีคุณหญิงคนหนึ่งมาบอกว่า ในหลวง ต้องการพบตัวแต่ภรรยาไม่กล้าไปพบ จนกระทั่งเป๊าะเลี้ยงโคกลับมา ก็มีตำรวจมาตามเป็นครั้งที่สอง เป๊าะ ตกใจมากว่าตำรวจมาตามเรื่องอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งสื่อสารกันเข้าใจว่า ในหลวง ต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ ต.แป้นอ.สายบุรี เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร เป๊าะ ถึงกล้าไปพบ แต่ตอนนั้น เป๊าะ ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว เป๊าะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็น ในหลวง จริงหรือเปล่า จึงแอบหยิบเงินใบละ 100 บาท กับใบละ 20 บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ดาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี






ตอนแรกที่พบ ในหลวง เป๊าะ ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ๆ เพราะตอนนั้นนุ่งโสร่งตัวเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ในหลวงก็ตรัสเป็นภาษามลายูว่า จะสร้างคลองชลประทานให้ หลังจากนั้น ในหลวง ท่านก็ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จว่ามีเขตติด ต่อที่ไหนบ้าง จึงได้เล่าให้ในหลวงทรงทราบว่าคลองเส้นนี้ทางเหนือจะติดเขตพื้นที่ อ.ศรีสาครจ.นราธิวาส ในหลวง ตรัสถามว่าหากออกไปทางทะเลจะมีเกาะกี่เกาะ เป๊าะ ก็ตอบพระองค์ไปว่ามี 4 เกาะ ในหลวง จึงทรงเอาแผนที่ที่นำติดตัวมาออกมาดูอีกครั้ง และตรัสชมว่า วาเด็งเป็นคนรู้พื้นที่จริง…เหมือนกับชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่พระองค์ เคยเข้าไปช่วยเหลือมาแล้ว พระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ไม่ว่าจะไปช่วยใครที่ไหนก็ต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน…เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น”



วันรุ่งขึ้นข้าราชการที่มารับเสด็จก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้ เป๊าะ พายเรือให้พระองค์เพื่อทำการสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ พระองค์มีพระราชดำรัสถาม พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างแหล่งชลประทานอย่างไร ตอนพายเรืออยู่ ในหลวง ตรัสด้วยว่า “ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย…มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง” เป๊าะ จึงบอก ในหลวง ว่าเมื่อถึงเวลาหน้าฝน น้ำจะท่วม ทำนาไม่ได้ เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็ทำนาไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน พระองค์ก็ตรัสกับ เป๊าะ อย่างไม่ถือพระองค์และตรัสถามอีกว่า ชาวบ้านทำการเกษตรอะไรบ้าง เป๊าะ จึงตอบพระองค์ไปว่าชาวบ้านไม่เดือดร้อนอะไร ทุกคนทำการเกษตรตามวิถีชีวิตของคนชนบท คือ ปลูกพืชผักสวนครัว และทำสวนไว้กินกันทุกบ้าน จากนั้น ในหลวง คงจะทรงลองใจเป๊าะ จึงตรัสถามขอที่ดินเพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม เป๊าะ จึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวง จึงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ เป๊าะ เป็น “พระสหาย” ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวง ตรัสเรื่องนี้ว่า “วาเด็งเป็นคนซื่อตรง…จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง” พร้อมทรงชวนให้ เป๊าะ และภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จฯ มาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้งล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพของ เป๊าะ กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย” วาเด็ง ปูเต๊ะ เล่าถึงเหตุการณ์วันที่ได้รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่คาดฝัน จนกระทั่งได้กลายมาเป็น “พระสหาย” แห่งสายบุรี ในเวลาต่อมาวาเด็ง ปูเต๊ะ บอกอีกว่า ตอนที่ไม่มีทีวีให้ดู เวลาอยากเห็นหน้า ในหลวง ก็จะหยิบเงินมาดูก็พอหายคิดถึงได้บ้าง พอมีทีวีแล้วก็จะรอดูแต่ข่าวในพระราชสำนักทุกวัน แต่พอพระองค์ทรงพระประชวรก็ต้องมาตามดูข่าวในพระราชสำนักตอนกลางวัน และตอนค่ำด้วย







ต่อมา ในหลวง ทรงสงสารจึงมอบเงินให้ เป๊าะ ครั้งละหลายหมื่นบาท หากไม่ได้เสด็จฯ มาก็ทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง


-----------------------------------------------------------------------------

Monday, March 14, 2011

ว่าด้วยวันสิ้นโลก

อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง




- ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่



ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น



- 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก



ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844



เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆ กับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง



- ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน



โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย”



- ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก



ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คนหนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆ คนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆ บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว”



- ปี 1982 วันพิพากษา



ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรคริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึงวันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์



- ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด



เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้



แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997



- เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส



ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก



- “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่



ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000



ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



- 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก



แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000



- ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง



จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์



“ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า



คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก”



ทว่า วัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่าที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ



Credit Manager.co.th

นิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ผมประสพพบอยู่ในชีวิตประจำวัน

อุปนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่คนไทยควรสังวร…














ในฐานะคนไทยที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่อยากจะเล่านิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ให้คนไทยได้รู้จักกันหน่อย คนไทยที่ประเทศไทยคงคิดว่า คนจีนแผ่นดินใหญ่นิสัยก็คงเหมือนคนจีนในประเทศไทย คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะคนจีนในประเทศไทยได้รับการหล่อหลอมจากหลายวัฒนธรรมรวมทั้งวัฒนธรรมไทย แม้แต่คนจีนในเมืองไทยที่ยังมั่นคงในวัฒนธรรมจีนแท้ๆ ก็ยังได้รับผลบุญจากวัฒนธรรมจีนที่สั่งสอนกันมาถึง 2000 กว่าปี คำสอนของขงจื้อ ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธมหายาน การนับถือบูชาบรรพบุรุษ ยังมีการสืบทอดมาถึงลูกหลานคนจีนในเมืองไทย ถ้าให้เทียบแล้วคนจีนในเมืองไทยนิสัยเป็นยังไง ต้องเอาสิบคูณถึงจะเข้าใจนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่













ด้วยเหตุที่ประเทศจีนปิดประเทศมานานในช่วงที่ท่านประธานเหมาเจ๋อตงนำการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาปกครองประเทศ ผมถือว่าไม่ได้เป็นช่วงเลวร้ายหรอก ถ้าศึกษาอุปนิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่จริงๆ ช่วงที่เลวร้ายและคนจีนอยากจะลืมประวัติศาสตร์หน้านี้ก็คือ ช่วงปฎิวัติวัฒนธรรม โดย แกงค์สี่คน ที่มีเจียงชิงภรรยาของท่านประธานเหมาเจ๋อตง นั่นแหละเป็นช่วงสูญญากาศของวัฒนธรรมจีนอย่างแท้จริง มีการเผาตำราเก่าโบราณ ตำราแห่งรากเหง้าศิลปและวัฒนธรรม ทำลายวัดวาอารามไม่ว่าของศาสนาอะไร ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามแม้กระทั่งลัทธิเต๋าเจอกันทั่วหน้า และที่น่ากลัว คือ การวิพากษ์คนและกล่าวหาผู้กระทำผิด รวมทั้งมีการให้ลูกหลานวิพากษ์และกล่าวหาพ่อแม่ของตนเองกลางชุมชน ทำให้สังคมครอบครัวซึ่งเป็นสังคมพื้นฐานถูกทำลาย การปฎิวัติวัฒนธรรมช่วงนี้กี่ปีผมจำไม่ได้ แต่ที่รู้ทำให้นิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนไป เป็นพวกประเภทชอบปัดความรับผิดชอบและไม่กล้ารับผิดชอบ เพราะถ้าเป็นในยุคนั้น อาจถึงตายได้เพราะถ้าไปรับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า กลายเป็นคนก้าวร้าว ไม่นับถือผู้มีอายุมากกว่า ลืมศิลปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีจีนดีๆที่ปฎิบัติกันมา













นิสัยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ผมประสพพบอยู่ในชีวิตประจำวัน เอาลักษณะเด่นๆมาเล่าสู่กันฟัง มีดังนี้


1. พูดเสียงดัง ผมว่าผมเป็นคนเชื้อสายจีนที่เกิดในเมืองไทยและพูดเสียงดัง จนบางทีเพื่อนผมมันรำคาญแล้วนะ แต่มาอยู่ที่ผมดูดีขึ้นเยอะ เป็นคนสุภาพขึ้น เพราะที่นี่ไม่รู้คุยอะไรกันดังหนักหนา เหมือนกับตะโกนใส่กัน ทุกครั้งที่ผมเข้าประชุมจะหูอื้อทุกที เพราะแย่งกันพูด แย่งกันคุยในขนาดเสียง 60 เดซิเบลอย่างต่ำ และถ้าคุณไปทานอาหารที่ภัตตาคาร หรือร้านอาหารกรุณาจองห้องส่วนตัว เพราะถ้าคุณนั่งในห้องรวม ไม่รู้โต๊ะข้างๆเอาเรื่องอะไรมาคุยกันได้มากมาย ขนเอาเรื่องจากที่ไหนมาพูดไม่รู้ เหมือนไม่ได้เจอกันมาสิบสิบปี ดังก้องไปทั้งร้าน เอาเป็นว่าคุณทานอาหารไป หูอื้อไป



2. เวลาพูดชอบมองจ้องและชี้หน้า ถ้าเป็นวัฒนธรรมไทยใครมาทำแบบนี้ ชกกันแล้วครับ ข่าวไทยรัฐแค่มองหน้าก็กลับบ้านเก่าแล้วมีให้เห็นบ่อยๆ แต่ที่นี่เวลาพูดกับคุณเขาจะจ้องคุณและชี้หน้าคุณ ไม่ได้หมายความว่า เขาเป็นศัตรูกับคุณมาแล้วหมื่นๆปี แต่เขาต้องการให้คุณรู้ว่า เขากำลังพูดอยู่กับคุณ และให้คุณตั้งใจฟังที่เขาพูด ไม่งั้นจะเดินมาพูดและพ่นน้ำลายรดหน้า เพราะภาษาจีนบางคำพูดแล้วน้ำลายกระเด็นออกมาถึงพูดชัด ไม่เชื่อคุณไปหัดเรียนดู



3. ไม่มีวินัยในการเข้าแถว อันนี้เมืองไทยดีกับเขาหน่อยเพราะสั่งสอนกันมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่ที่นี่แตกแถวตลอด หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ผมมาใหม่เรียกแท็กซี่ปวดหัวประจำ เราเรียกตรงนี้ เขาไปดักข้างหน้า หรือไม่ไปยืนหน้าแท็กซี่คันที่เราเรียกพอแท็กซี่จอดให้เรา หรือพอเราเรียนรู้ทำแบบเขาบ้างเจอดีกว่า พอเราเรียกแท็กซี่จอด ใครไม่รู้มาจากไหนมายืนดักแท็กซี่คันที่จอดให้เรา แต่ที่แย่กว่าขณะที่เรากำลังทะเราะกับไอ้คนที่มาดักหน้าแท็กซี่คันที่เราเรียก ดันมีตาอยู่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงเปิดประตูแท็กซี่ขึ้นไปนั่งเฉย ให้ลงก็ไม่ลง มันบอกว่า ผมได้สิทธิไปแล้ว ทำแบบเกมส์เศรษฐีของคุณไตรภพเลย



4. ไม่รู้จักคำว่า เกรงใจ ทั้งๆที่มีคำว่า เกรงใจ ในภาษาจีนด้วย คุณเคยไปเลือกซื้อของไหม ของที่คุณกำลังเลือกกำลังจะซื้อ อยู่ๆก็มีคนมาแย่งไปจากมือ เคยเห็นไหมละ ที่นี่บ่อยๆ คำว่า “เกรงใจ” 不客气 อ่านว่า ปู้เค่อชี่ (BuKeQi) ส่วนมากใช้กับคนรู้จักหรือสนิทสนนกัน ส่วนมากใช้ตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเท่านั้น แต่ถ้าคนแปลกหน้าอย่างหวัง ชาติหน้าตอนสายๆ


5. โลภมาก ไม่รู้จักคำว่าพอ เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจจะเนื่องจากประเทศเขาใหญ่ ประชาชนก็มีมาก เลยต้องแย่งกันทำมาหากิน และระบอบของรัฐยังไม่สามารถจัดสวัสดิการให้ถึงทั่วทุกคน จึงทำให้คนจีนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าเพื่อหาหลักประกันของตน ประเทศนี้จึงมีเงินฝากมาก แต่ปัญหาที่เกิดคือพอมีแล้วไม่รู้จักพอ เศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองจีนเมื่อ 2-3ปีที่แล้วโดนรัฐบาลจีนจับไปเพราะความโลภ เศรษฐีอันดับหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ ชิ่อ จูเจิ้งอี้ ที่คิดจะซื้อห้างสรรพสินค้า Super Brand Mall ของกลุ่มบริษัทซีพีของไทย ตอนนี้ก็นอนอยู่ในคุก แล้วตอนนี้กำลังสอบสวนฐานมีส่วนร่วมในการคอรัปชั่นเงินกองทุนประกันสังคม ที่ทำให้ผู้ว่าเซี่ยงไฮ้คนก่อนโดนปลดและถูกดำเนินคดีอยู่ แถมเมื่อ 2-3 วันศาลเมืองจีนลงโทษผู้คุมคุกที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่ในคุกตลอดจนทำเรื่องลดโทษให้เศรษฐีคนนี้เป็นเวลา 11 ปี เพราะโดนเศรษฐีคนนี้ซื้อไป


6. ทำงานไม่รับผิดชอบ นี่คือปัญหาใหญ่ในการทำงานที่นี่ ส่วนมากจะทำงานไม่รับผิดชอบ กัน เวลาเจอปัญหาจะเตะปัญหาออกจากตัวเป็นว่าเล่น และส่วนใหญ่ความผิดจะไปอยู่ที่คนที่ไม่อยู่ตอนนั้น หรือไม่อยู่ในที่ประชุม แถมยังLobbyกันให้โยนปัญหาอีกต่างหาก ผมว่าอันนี้อิทธิพลมาจากในช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมที่เล่ามาข้างต้น และสั่งสอนสืบต่อกันมาจนเป็นพฤติกรรมที่ปฎิบัติกันทั่วไป


7. เอาความฉลาดไปใช้ในการโกงมากกว่าสร้างสรร อันนี้ทีเด็ดเอาเรื่องแบบเป็นตัวอย่างมาเล่าให้ฟังสักเรื่อง คุณเคยได้ยินพวกขายสินค้าให้กับทางห้างสรรพสินค้า หรือห้างพวกโลตัสหรือคาร์ฟูร์ที่เมืองจีนไหม ธรรมดาตอนเก็บเงินพวกขายสินค้าพวกนี้จะมารอทวงเงินกัน มากันเป็นร้อยๆบริษัท ซึ่งก็ต้องรอคิวกันบางวันติดต่อก็ได้เงิน บางวันโดนผลัดถ้ดไปเป็นวันอื่นๆ ทางห้างเห็นคนมามากก็เลยทำเครื่องจ่ายบัตรคิว แต่ก็มีคนขายสินค้าบางคนหัวใส ตื่นเช้ามากดบัตรคิวเอาไว้ขาย 100 ใบ ใบละ 10 หยวนและขายหมดด้วยเพราะคนไม่อยากรอกัน ตกลงวันนั้นทวงเงินไม่ได้ก็มีเงินติดกระเป๋ากลับบ้าน 1000 หยวนเทียบเงินไทยก็ 5000 บาท รายได้ดีไหม ปัญหาคือผู้ค้าสินค้ารายอื่นไม่ยอมเสียเปรียบไปร้องหนังสือพิมพ์ แต่กลายเป็นว่า ไปลงว่าห้างขายบัตรคิวทั้งๆที่ไม่ใช่ห้างทำ ห้างนั้นก็เลยเสียชื่อไป ยังมีเรื่องอื่นทำนองนี้อยู่เยอะ


วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเพราะยังมีอีกเยอะแต่กลัวความเรียงจะยาวเกินไป พยายามหาข้อมูลมาบอกเพื่อให้เข้าใจคนจีนแผ่นดินใหญ่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นทุกๆคนหรอกนะ .

การทำนา

วิธีการทำนา ขั้นตอนการทํานาโยน การทํานาแบบโยนกล้า - วิธีการปลูกข้าวแทนดำนา ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวขอนแก่น


การปลูกข้าวโดยวิธีการโยนกล้า (parachute)



การพัฒนาการทำนา โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้อย่างเหมาะสม ทำให้การทำนาในเขตชลประทานได้ผลผลิตสูงกว่าในเขตนาน้ำฝนของประเทศ และสามารถผลิตข้าวได้มากกว่าปีละ 1 ครั้ง เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกข้าวโดยวิธีการหว่านน้ำตม ใช้พันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง อายุสั้น เก็บเกี่ยวข้าวด้วยเครื่องเกี่ยวนวด ดยเฉพาะพื้นที่นาชลประทานในภาคกลาง ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์สูง ซึ่งปัจจุบันราคาเมล็ดพันธุ์กิโลกรัมละ 20-23 บาท และเมล็ดพันธุ์ดีก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้การทำนาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น 2 ปี 5 ครั้ง หรือ ปีละ 3 ครั้ง ย่อมส่งผลกระทบถึงสภาพแวดล้อม เช่น ปัจจุบันการทำนาในภาคกลางประสบกับ ปัญหาข้าววัชพืช ระบาดอย่างรุนแรง เกษตรกรที่ทำนาแบบหว่านน้ำตม ส่วนหนึ่งเปลี่ยนวิธีการทำนาเป็นการปักดำด้วยเครื่องปักดำเพื่อควบคุมปริมาณข้าววัชพืช ปัญหาที่ตามมาก็คือ เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเตรียมดินให้เหมาะสมกับการทำงานของเครื่องปักดำได้ และอัตราค่าปักดำค่อนข้างสูงคือ ไร่ละ 1,100-1,200 บาท (รวมเมล็ดพันธุ์ข้าว) วิธีการปลูกข้าวแบบโยนกล้า เป็นการทำนาแบบใหม่ที่สามารถนำมาใช้แทนการปักดำด้วยเครื่องได้



แนะนำให้เป็นทางเลือกในพื้นที่

1. พื้นที่ปัญหาข้าววัชพืชมาก

2. ผลิตในศูนย์ข้าวชุมชนหรือไว้ใช้เองได้

3. ผลิตข้าวอินทรีย์ เพื่อควบคุมข้าววัชพืช

4. ประหยัดเมล็ดพันธุ์



เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าแต่ได้ผลผลิตไม่ตกต่างจากการปักดำด้วยเครื่องหรือการหว่านน้ำตม แต่สามารถควบคุมวัชพืช โดยเฉพาะข้าววัชพืช ที่กำลังระบาดอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ในภาคกลาง



ตาราง 1 เปรียบเทียบต้นทุน (บาท/ไร่) ของการปลูกข้าวปทุมธาน ี1 ด้วยวิธีการปลูกแบบต่างๆ


(ไม่รวมค่าสารเคมีป้องกันกำจัดโรค แมลง และน้ำมันสูบน้ำเข้านา) /ปรับปรุงจาก นิตยาและคณะ, (2549)

ขั้นตอนการทำนา หว่านน้ำตม นาดำ โยนกล้า





การตกกล้า

ตกกล้าในกระบะเพาะกล้าที่มีลักษณะเป็นหลุม ตามลำดับดังนี้

1. ใส่ดินในหลุมประมาณ ครึ่งหนึ่งของหลุม

2. หว่านเมล็ดข้างงอกลงในหลุมโดยใช้อัตรา 3-4 กก./ 60-70 ถาด/ไร่

3. ใส่ดินปิดเมล็ดพันธุ์ข้าว ระวังอย่าให้ดินล้นออกมานอกหลุม เพราะจะทำให้รากข้าวที่งอกออกมาพันกัน เวลาหว่านต้นข้าวจะไม่กระจายตัว

4. หาวัสดุ เช่นกระสอบป่าน คลุมถาดเพาะ เพื่อเวลารดน้ำจะได้ไม่กระเด็น รดน้ำเช้า เย็น ประมาณ 3-4 วัน ต้นข้าวจะงอกทะลุกระสอบป่าน ให้เอากระสอบป่านออก แล้วรดน้ำต่อไป จนกล้าอายุ 15 วัน

5. นำกล้าที่ได้ไปหว่านในแปลงที่เตรียมไว้ ให้สม่ำเสมอ การตกกล้า 1 คน สามารถตกได้ 2 ไร่ (140 กระบะ) /วัน



การเตรียมแปลง

ไถดะครั้งที่ 1 หลังเก็บเกี่ยวข้าวปล่อยแปลงให้แห้งประมาณ 15-30 วัน แล้วปล่อยน้ำเข้าพอให้ดินชุ่มประมาณ 5-10 วัน เพื่อให้วัชพืชและเมล็ดข้าวที่ร่วงหล่นในดินงอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อนเสียก่อนจึงไถดะครั้งที่



ไถแปร หลังจากการไถดะครั้งที่ 1 แล้ว ปล่อยทิ้งไว้ 10-15 วันโดยรักษาระดับน้ำเพียงแค่ดินชุ่ม เพื่อให้เมล็ดวัชพืชและเมล็ดข้าวที่หลงเหลืออยู่งอกขึ้นมาอีกแล้วจึงไถแปร



คราดหรือทุบ หลังจากการไถแปรครั้งที่ 2 แล้ว ปล่อยทิ้งไว้ 10-15 วันโดยรักษาระดับน้ำเพียงแค่ดินชุ่ม เพื่อให้เมล็ดวัชพืชและเมล็ดข้าวที่หลงเหลืออยู่งอกขึ้นมาอีกแล้วคราดหรือทุบจะช่วยทำลายวัชพืชได้มาก หรือหลังจากไถดะ ไถแปรและคราดเสร็จแล้วเอาน้ำขังแช่ไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกหญ้าที่เป็นวัชพืชน้ำ เช่น ผักตบ ขาเขียด ทรงกระเทียม ผักปอดและพวกกกเล็ก เป็นต้น งอกขึ้นเสียก่อน เพราะเมล็ดวัชพืชปกติจะงอกภายใน 5-7 วันหลังจากน้ำนิ่งโดยเฉพาะนาที่น้ำใส เมื่อลูกหญ้าขึ้นแล้วจึงคราดให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ลูกหญ้าก็จะหลุดลอยไปติดคันนาทางใต้ลม ก็จะสามารถช้อนออกได้หมด เป็นการทำลายวัชพืชวิธีหนึ่ง



สำหรับผู้ที่ใช้ลูกทุบหรืออีขลุก ย่ำฟางข้าวให้จมลงในดินแทนการไถ หลังจากย่ำแล้วควรจะเอาน้ำแช่ไว้ให้ฟางเน่าเปื่อยจนหมดความร้อนเสียก่อนอย่างน้อย 3 สัปดาห์แล้วจึงย่ำใหม่ เพราะแก๊สที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของฟางจะเป็นอันตรายต่อต้นข้าวจะทำให้รากข้าวดำไม่สามารถจะหาอาหารได้



ระบายน้ำออกเพื่อปรับเทือก ปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ เมื่อคราดแล้วจึงระบายน้ำออกและปรับเทือกให้สม่ำเสมอ กระทำได้ด้วยการใช้น้ำในนาเป็นเครื่องวัด โดยให้น้ำในนามีระดับเพียงตื้นๆ ขนาดเพียงท่วมหลังปูก็จะเห็นว่าพื้นที่นาราบเรียบเพียงใดอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าส่วนใดยังไม่สม่ำเสมอก็ควรจะปรับเสียใหม่ การปรับพื้นที่นาหรือปรับเทือกให้สม่ำเสมอจะทำให้ควบคุมน้ำได้สะดวก



การโยนกล้า ให้มีน้ำในแปลงประมาณ 1 ซม. นำกระบะกล้าข้าวที่มีอายุ 15 วัน ไปวางรายในแปลงที่เตรียมไว้ให้กระจายสม่ำเสมอ อัตรา 60-70 กระบะต่อไร่ จากนั้นคนที่จะโยนกล้าจะหยิบกระบะกล้ามาวางพาดบนแขน แล้วใช้มือหยิบกล้าข้าวหว่านหรือโยนในแปลง โดยโยนให้สูงกว่าศรีษะ ต้นกล้าจะพุ่งลงโดยใช้ส่วนรากที่มีดินติดอยู่ลงดินก่อน การหว่านกล้า 1 คน สามารถหว่านได้วันละ 4- 5 ไร่ จับต้นกล้า 5 - 15 หลุม โยนตวัดมือขี้นหนือศีรษะ ต้นกล้าจะพุ่งดิ่งลง



การดูแลรักษาระดับน้ำ วันหว่านกล้าให้มีน้ำในแปลงประมาณ 1 ซม. (ท่วมหลังปู) หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ต้นข้าวตั้งตัวได้แล้ว สามารถเพิ่มระดับน้ำให้อยู่ที่ระดับครึ่งหนึ่งของต้นข้าว หรือประมาณ 5 ซม. เพื่อการควบคุมวัชพืช



การเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวข้าวที่ระยะที่เหมาะสม คือหลังจากข้าวออกดอก (75 %) แล้ว 28-30 วัน จะมีความชื้นประมาณ 22 % กรณีไม่ถูกฝนช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเกิดความสูญเสียทั้งด้านปริมาณและคุณภาพน้อยที่สุด จะทำให้ได้ข้าวที่มีน้ำหนักดีที่สุด มีการร่วงหล่นและสูญเสียขณะเก็บเกี่ยวน้อยที่สุด ผลผลิตมีคุณภาพดี ข้าวที่เก็บไว้สีเป็นข้าวมีคุณภาพการสีสูง ข้าวที่เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานอย่างน้อย 7-9 เดือน เสื่อมความงอกช้า



ข้อได้เปรียบของวิธีการโยนกล้าเปรียบเทียบกับการปักดำและหว่านน้ำตม

1. แปลงที่มีลักษณะหล่มก็สามารถเตรียมแปลงเพื่อการหว่านต้นกล้าได้ แต่ไม่สามารถปลูกโดยวิธีการปักดำด้วยเครื่องปักดำได้ เนื่องจากเครื่องจะติดหล่ม

2. ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์น้อยกว่าการหว่านน้ำตมและการปักดำ

3. สามารถควบคุมและลดปริมาณวัชพืชและข้าววัชพืชได้ดีกว่าการทำนาหว่านน้ำตม

4. ลดการสารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวเมื่อเทียบกับการหว่านน้ำตม



เอกสารคำแนะนำ การปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า สำนักส่งเสริมการเผลิตข้าว กรมการข้าว 2551

ที่มา ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวขอนแก่น

10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง…ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์

วันนี้ชวนมาอ่าน มาฟังคนไทยวิจารณ์คนไทย จาก คนดังที่มีแนวคิดตัวเองสุดโต่งคนหนึ่ง คือ คุณ วิกรม กรมดิษฐ์!!! ครับ

ประเด็นที่เขานำเสนอที่จริงมีหลายคนพูดถึงแล้วในหลายหัวข้อ สมัยก่อนผมทำงานกับคนญี่ปุ่น ราว 10 กว่าปี ก็เคยมี ดร.ท่านหนึ่ง ท่านคุยถึงเรื่องนี้ (ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์) เวลาผ่านไป 10 ปี พอคุณวิกรมกลับมาพูดอีกรอบ (แถมมีประเด็นมากขึ้น) ก็เลยชวนให้อยากเอามาฝาก ที่จริงแล้วประเด็นเหล่านี้ รัฐน่าจะขยับตัวได้แล้ว เพราะไม่ใช่เรื่องที่คนไม่กี่คนเห็น แต่น้อยคนที่กล้าพูดตรงๆ ครับ


10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง…ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์




วิกรม กรมดิษฐ์

ออกอากาศทางวิทยุ อสมท.

รายการซีอีโอวิชั่น

10-11 มกราคม 2550



[01]

คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก

กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก



ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวม แต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้ว ทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ



[02]

การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย

สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษาคนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า



[03]

คนไทยมองอนาคตไม่เป็น

เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก



[04]

คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่

การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้า หรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่น หรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อย ๆ



[05]

การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่

ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกล จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศ การสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกล แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค จะเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม



[06]

การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง

สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง



[07]

สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ และชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย เมื่อจนตรอก ในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น

จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับ หรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอดหน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว



[08]

เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว

ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผล ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน



[09]

คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก

เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง

ทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้



[10]

คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น

ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม



คุณวิกรมแสดงความเห็นว่า การอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง

-หนึ่งภายในครอบครัว

- สองจากโรงเรียน

- และสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน



ในส่วนนี้พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ เพราะถ้าหากสื่อมวลชนทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง หรือเพื่ออำนาจต่อรองเท่านั้น และสังคมปราศจากสื่อที่จะทำหน้าที่นำเสนอสาระที่เป็นความจริง โดยไม่มอมเมาบิดเบือนแล้ว เมื่อนั้นสังคมจะวิบัติมากยิ่ง ๆขึ้นอีกต่อไป



วิกรม กรมดิษฐ์

ออกอากาศทางวิทยุ อสมท.

รายการซีอีโอวิชั่น

10-11 มกราคม 2550



………………



ประเด็นหลักๆมีที่คุณวิกรมไม่ได้พูดถึง คือ คนไทย มักไม่ค่อยอยากจะยอมรับนัก เมื่อมีคนมาวิจารณ์ตนเอง ถึงแม้จะเป็นคนไทยด้วยกันเอง และบอกล่วงหน้าได้ว่า เมื่อหลายคนอ่านเสร็จแล้ว ก็จะมีคนบางคนคิดว่า



1. “ไม่เกี่ยวกะฉัน ใครมีหน้าที่ก็ทำไปแล้วกัน”

(ประเด็นนี้จบเลยครับ อย่างน้อยให้รู้ไว้ แล้วสักวันถ้ามีโอกาสมาช่วยกันยังดีเสียกว่า ยังพอมีความหวังในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของชาติมั่ง)



2. “แล้วคนพูด เขาเป็นใคร วิเศษขนาดไหน ดีมาจากไหน มันก็แค่… ฯลฯ”

(ประเด็นนี้พอคิดมุ่งโจมตี”ผู้พูด”ก่อนว่า ดีนักหรือที่มาวิจารณ์เรา ก็จะเกิดอคติ แล้วก็เลือกที่จะไม่รับข้อมูลเลยก็มี หากจะลองพิจารณาเฉพาะประเด็น ผมเชื่อว่ามันก็มีประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว)



3.”ที่บอกมาไม่ใช่ไทยเท่านั้น ชาติอื่นๆ ก็เป็น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ”

(บอกปัดไปเลยอีกแล้วผ่าน เลิกคิด ประเด็นที่พูดถึงก็จะถูกละเลย โดยไม่ได้มองถึงวิธีการที่จะมาช่วยกันปรับปรุงให้กับคนรุ่นต่อไปของชาติ)



4. “คิดแบบนี้ เท่ากับดูถูกชนชาติไทยของเราเอง คนไทยหรือเปล่า”

(เปิดประเด็นแบบนี้ ทะเลาะกันไปเลย ไม่ต้องมาคิดเรื่องว่าประเด็นต่างๆนี้ จะต้องปล่อยผ่านไปอีกกี่ปี หรือจะรอให้มันยิ่งสายไป)



อย่างน้อยที่สุดก็ขอฝากประเด็นเหล่านี้ไว้สักวันจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดอะไรดีดี

ช่วงเวลานี้เราก็ดูแลเยาวชนในครอบครัว ในมือของเราให้อย่าเป็นใน 10 ข้อนี้ ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ครับ



ปัจจุบันเยาวชนเรากำลังขาดภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ และตกอยู่ในการครอบงำของสื่อรอบตัวได้ง่าย ขาดความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าปล่อยแบบนี้ ลูกเราก็เป็นได้แต่ขี้ข้าเขา เพราะไม่รู้จักคิดเอง ไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ ไม่เคยทดลองผิดลองถูกและพัฒนาจากความผิดพลาด



เราจำเป็นต้องฝึกให้เขา แพ้เป็น เอาตัวรอดจากความผิดหวัง จากวัตถุนิยมได้ มีวินัย มีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต และมีจิตสำนึกของการดำเนินชีวิต



ฝากถึงกันครับ

Friday, March 11, 2011

การปลูกยางพารา แหล่งจำหน่ายต้นกล้ายางพารา

การทำธุรกิจสวนยาง มีความเสี่ยงต่ำให้ผลประกอบการสูงแต่ทั้งนี้ต้องวิเคราะห์ปัจจัยหลาย ๆ ด้านของการผลิตทุก ๆ ขั้นตอน ตั้งแต่


1. ศึกษาวิเคราะห์ถึงสภาพดินจะที่เพราะปลูกเมื่อทราบว่าลักษณะดินเป็นอย่างไรในเบื้องต้นแล้วจะง่ายต่อการคัดสายพันธุ์ของยางพาราที่จะนำมาปลูก

2. การคัดเลือกสายพันธุ์ต้องศึกษาดูถึงภูมิอากาศและสภาพความลาดเอียงของแปลงเพาะปลูก โดยเฉพาะสายพันธุ์นั้นต้องมีความแน่ใจที่รับรองโดยกรมวิชาการ ไม่ใช่กิ่งตาสอย หรือไม่ได้คุณภาพ

3.ขั้นตอนในการปลูกต้องให้ได้มาตรฐานโดยทั่วไป

4.การดูแลรักษาในระยะเริ่มต้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี

ผลผลิตเสริมและกำไรที่คาดว่าจะได้รับ

การปลูกยางพารานั้นในช่วง1-3 ปีแรกนั้นเราสามารถที่จะปลูกพืชอื่นเสริมทดแทนได้ เช่น ข้าวโพด ถั่ว พืชล้มลุกที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ได้ ในช่วงนี้เราสามารถมีอาชีพเสริมพลาง ๆ ก่อนได้ที่ยางจะเปิดกรีดซึ่งต้องใช้เวลา ถึง 5 ปี

มีบางพื้นที่เริ่มนำกล้วยไม้ไปปลูกในร่องสวนในขณะที่เปิดกรีดได้แล้วก็มี เมื่อกรีดจนครบกำหนดประมาณ 15-18 ปี ไม้ยางนั้นสามารถขายได้ คิดประมาณการต่อไร่ 60000-80000 บาท จะเห็นได้ว่าพืชเศรฐกิจยางพาราสามารถนำมาสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นทุก ๆ กระบวนการ ไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตราคาน้ำยาง หรือยางแผ่นเท่านั้น (ตอนนี้ราคา กก.ล่ะ 110) และนักวิเคราะห์คาดว่าแนวโน้มตลาดโลกต้องการมากขึ้นและอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย อนาคตจะไปได้ดี

รับ สวนโซเฟีย จำหน่าย เพาะพันธ์


1. ขายกล้ายางพารา

2. ยางชำถุง เพาะเมล็ดในถุง พันธุ์ RRIM 600 , RRIT 251, PB235 , 600ยอดดำ

3. ราคาต้นละ 18-25 บาท



ยางพาราชำถุง พันธุ์ RRIM 600, RRIT 251



- 1 ฉัตร ราคาต้นละ 30-35 บาท

- 2 ฉัตร ราคาต้นละ 35 - 38 บาท



รับจองยางพาราชำถุง ,เพาะเมล็ดในถุง ส่งมอบ ปี 2554



1. ยางพาราชำถุง RRIM600 RRIT 251 ราคาต้นละ 20-25 บาท (ส่งมอบประมาณ พ.ค. - มิ.ย.-ก.ค. - ส.ค. 54)



2. ยาง ตอตาเขียว RRIM600 RRIT 251 ราคาต้นละ 15-18 บาท (ส่งมอบ ก.พ. - มี.ค. 54)



สถานที่รับสินค้า : อำเภอมะขาม อำเภอเมือง อำเภอคิชกูฎ จ.จันทบุรี

บริการส่งถึงที่ ต้องเพิ่มราคาขนส่ง
ต้นกล้ายางพาราปักษ์ใต้ ส่งทั่วประเทศ รีบจองวันนี้ จำนวนจำกัด!



ประเภท ต้นกล้ายางพารา พันธ์ 600,251,235 จากปักษ์ใต้

รายละเอียด มีพันธุ์กล้ายาง 600,226,251 และ 235 ตาเขียวและยางชำถุง จากปักษ์ใต้ ของแท้ 100 % ใว้บริการท่านเกษตรผู้สนใจ ที่มาจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและภาคตะวันออก กรุณาติดต่อ บริษัท ซี.พี. เกษตรตะวันแดง ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าท่านจะได้รับในสิ่งที่ท่านต้องการดังต่อไปนี้ 1.ต้นกล้าพันธุ์ที่มีคุณภาพจากปักษ์ใต้ของแท้ ดำเนินงานโดยเกษตรกรและนักวิชาการตัวจริงเสียงจริงจากภาคใต้ 2.เกษตรกรไม่ต้องจ่ายค่าขนส่งเพื่อไปรับต้นกล้าที่ภาคใต้เรามาบริการถึงที่นี่แล้ว 3.เกษตรกรสามารถซื้อได้ในจำนวนมากในราคาที่เท่ากับภาคใต้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อต้นกล้าและค่าขนส่ง 4.ผู้สนใจจะมีแปลงต้นกล้ายางพาราและสินค้าอื่นเพื่อทำเป็นธุรกิจติดต่อได้ที่ ....สายตรง โทร: 089-780-0515 หรือ