Sunday, October 10, 2010

ปู่ขาบ (ปู่สถิตย์ภูมิ)

ถ้าจะสืบสาวเรื่องราวความเป็นมาของใครสักคน มันอาจจะง่ายอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะชีวประวัติของบุคคลสำคัญของประเทศในสังคมเมืองใหญ่

แต่ถ้าจะสืบสาวหาประวัติเรื่องราวความเป็นมาของใครสักคน ในแถบถิ่นชนบท โดยสืบหาจากคำบอกเล่าของผู้ที่ได้รู้จัก และเกี่ยวข้อง มันช่างยากยิ่ง ยิ่งเสียกว่า "งมเข็มในมหาสมุทร" ที่โบราณว่าเสียอีก เพราะเหตุที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเรื่องราวได้จากโลกนี้ไปแล้วเกือบยี่สิบปี

"ปู่ขาบ" แห่งหมู่บ้านปากตนสืบเชื้อสายมาจากที่ใด ไม่มีประวัติที่แน่ชัด แม้แต่เมียและลูกของท่านที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถสืบรู้ได้

ท่านเป็นปู่แท้ๆ ของผม ย่าคิดว่าปู่มาจากบ้านเขาแก้ว อำเภอลาสกา ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนแม่บอกว่า ปู่เคยเล่าให้ฟังก่อนเสียชีวิตว่า ปู่มาจากหมู่บ้านท่าช้าง ซึ่งเป็นเขตอำเภอเมืองในอดีต พูดกันไปพูดกันมา เลยมาลงเอยที่ว่า ปู่เป็นคนท่องเที่ยว เดินทางไปทั่ว ได้มาเป็นเขยที่หมู่บ้าน "ปากตน" ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม...

เรื่องราวแท้จริงจะเป็นอย่างไร ปู่จะเป็นนักท่องเที่ยวผจญภัย หรือใครกันแน่ ผมเลยสืบหา เรื่องราวเหล่านั้นจากคนรุ่นหลัง ที่เป็นกุญแจสำคัญในการเล่าชีวิตของปู่...

ปู่ของผมเป็นบุคคลที่ผู้คนมากมายที่ในและนอกหมู่บ้านรู้จักกันทั่วในครั้งอดีต ทั้งพระภิกษุสงฆ์ผู้เฒ่าชรา หรือ คนเฒ่าคนแก่ของยุคก่อนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ผมเดินทางไปสู่หมู่บ้านอื่น เขาถามว่าผมมาจากไหน เป็นลูกหลานของใคร เพียงผมเอ่ยบอก ก็เป็นอันรู้ทั่วกันว่าผมเป็นหลาน "เณรขาบ" (ใครที่เคยบวชเป็นพระภิกษุมาก่อน เมื่อลาสิกขาแล้ว ทางใต้บางพื้นที่ เขาจะเรียกขาน คำนำหน้าชื่อว่า "เณร" เสียส่วนมาก)

ชื่อ "ขาบ" เป็นชื่อที่ไม่ค่อยจะมีใครนิยมใช้กันมากนัก ตั้งแต่เกิดมา และแม้ทุกวันนี้คนชื่อ "ขาบ" ผมเองก็ได้ยินชื่อนี้ไม่กี่คน

เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของปู่ขาบ ผมได้ฟังมาจากที่แม่เล่าเสียส่วนมาก แม่ว่าช่วงที่ปู่ป่วยหนัก แม่จะอยู่เฝ้าไข้ปู่อยู่ตลอด และช่วงนั้นเองที่ปู่เล่าประวัติของตัวปู่เองให้แม่ได้จดจำไว้

แม่บอกว่า ปู่ขาบมาจากหมู่บ้านท่าช้าง เดินทางไกลไปทั่ว กับพระธุดงค์ สายวัดป่า ปู่ขาบเคยบวชเป็นสามเณรตั้งแต่เด็ก เป็นเณรน้อยรับใช้ปรนนิบัติพระธุดงค์

สมัยนั้น หมู่บ้านเกือบทุกแห่งเป็นป่ารกทึบ ปู่ผมเกิดในยุคตอนปลายขององค์ "พระพุทธเจ้าหลวง" ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ของเรา ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศสยามกำลังเดินไปสู่อารยประเทศ



หลังจากอายุครบที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ปู่ผมก็ได้รับการอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ หลังจากนั้นไม่นานปู่ก็ลาสิกขาออกมา แล้วก็เดินทางไปเรื่อยตามประสาคนหนุ่มนักเดินทาง อาศัยอยู่กับวัดกับวา ระหว่างนั้นก็เลี้ยงวัวฝูงใหญ่ ต้อนไปแถบภูเขาใหญ่ ในยุคนั้น เป็นยุคแสวงหาถิ่นฐาน ทุกคนมีสิทธิจับจองที่ดินได้หลังจากมีการประกาศเลิกทาสมาหลายปีแล้ว ปู่เดินทางมาจับจองที่ดินแถบหมู่บ้านของผมปัจจุบัน

สมัยก่อน การจับจองที่ดินนั้น เขาจะมีไม้ปักเป็นเขตแดนแทนรั้ว หรือไม่ก็ปลูกมะพร้าว หรือไม้ยืนต้นเนื้อแข็ง เพื่อจับจองเป็นเจ้าของสิทธิ

ปู่ขาบของผมมาสร้างหลักปักฐานที่หมู่บ้าน แล้วก็เป็นเขยในหมู่บ้านกับย่าหลวง ซึ่งเป็นเมียคนแรกของปู่ หลังจากมีลูกสาวสองคน ซึ่งเป็นป้าสาวของผม ไม่นานย่าหลวงก็เสียชีวิตด้วยโรคไข้ป่า หลังจากนั้นปู่ก็ได้อยู่กินกับย่าแท้ๆ ของผม ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของย่าหลวง เหตุที่ย่าต้องอยู่กินกับปู่ แม่แอบกระซิบกับผมว่า "ย่าถือกำเนิดเป็นหญิง เกิดวันอังคาร ซึ่งคนสมัยนั้นเขาถือตามลักษณะราศีอะไรสักอย่าง..แล้วพ่อเฒ่าแม่เฒ่าของย่าก็ยกย่าให้กับปู่ บ้างว่าเพื่อรักษาที่ดินไม่ให้กระจัดกระจายออกไป ปู่กับย่าได้อยู่ด้วยกันและมีลูกชายสองคน คือพ่อลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ และตัวพ่อของผมเอง...



แม่เล่าว่า เมื่อก่อนปู่ของผมไม่ใช่นามสกุลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เมื่อก่อนปู่ขาบท่านนามสกุล "สถิตย์ภูมิ" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "กาธิกาล"

"สถิตย์ภูมิ" แปลว่า "ตั้งไว้บนแผ่นดิน" ผมชอบคำๆนี้ เหตุที่ปู่ต้องเปลี่ยนนามสกุลมีเรื่องเล่าว่า พ่อเฒ่าหลวงศรีใหม่" จะยกที่นาให้แก่ปู่ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า เมื่อได้ที่นาแล้ว ปู่ต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น "กาธิกาล" ปู่ผมจึงรับปากรับคำ และแล้วนามสกุล "กาธิกาล" ก็สืบทอดมาถึงผม ปู่เคยบอกเหตุผลกับแม่ว่า เหตุผลที่เปลี่ยนเพราะว่า นามสกุล "สถิตย์ภูมิ" มีคนใช้กันมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนคงไม่เป็นไร




...ตั้งแต่เด็กผมมักจะได้ยินปู่สวดมนต์เกือบทุกเช้าค่ำ ผมมารู้จากแม่ภายหลังว่า ปู่เป็นคนเก่งแก่เรียน สามารถอ่านเขียนพระบาลีที่เป็นตัวอักษรขอมได้ เพราะปู่อยู่กับวัดกับวา มาตั้งแต่เด็กๆ...

เรือนข้าวหลังใหญ่ปัจจุบันที่อยู่หลังบ้านนั้น แม่ว่าเคยเป็นที่พักที่ปู่สร้างไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นพระอาจารย์และพระภิกษุอื่นๆ ได้อยู่พักจำวัดที่นั้น ถ้าได้ผ่านจาริกมา

ผมไม่ค่อยมีความจรงจำอะไรมากนักเกี่ยวกับตัวปู่ ในสมัยเป็นเด็ก ทุกครั้งผมขึ้นไปบนเรือนที่มีหิ้งพระตั้งอยู่ ผมมักจะมองไปที่ไม้เท้า ตาไม้เป็นตะปุ่มตะป่ำ เป็นไม้เนื้อแข็ง ที่ปู่ไว้เดินค้ำกายในช่วงที่ท่านอายุมากแล้ว

ปู่มาและไปดั่งสายลม ถ้าตอนนี้ในขณะที่ผมโตเป็นหนุ่ม และปู่ผมอยู่ทันได้เห็นผมเป็นอยู่ขณะนี้ ปู่คงจะดีใจไม่น้อยที่หลานชายของปู่คนนี้ก็เป็นนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับปู่เหมือนกัน

แม่บอกว่า ถ้าปู่ทันได้เห็นผมบวชทั้งเป็นสามเณร และเป็นพระภิกษุ อยู่ในร่มพระศาสนา ของพระพุทธองค์ ปู่คงจะปลื้มใจเป็นอันมาก เพราะปู่เป็นคนชอบสนทนากับพระสงฆ์ สมัยที่ปู่ยังมีชีวิตอยู่...

หลวงปู่พัฒน์ พุทฺธสโร เป็นพระอาจารย์ของปู่ในยุคสมัยนั้น ท่านเป็นอดีตสมภารวัดเชิงแตระ ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงปู่มรณภาพ ลงในปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสอง ยุคนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราได้ทรงออกประพาสหัวเมืองนครศรีธรรมราช เขาเล่าต่อว่า ขณะที่ในหลวงทรงประทับรถพระที่นั่ง เมื่อรถผ่านหน้าวัด ท่านก็มรณภาพทันที...

รูปของหลวงปู่พัฒน์ยังติดอยู่ที่ฝาไม้บนเรือน เหนือหิ้งพระของปู่ ตราบจนปัจจุบัน

ส่วนพระภิกษุอีกรูปหนึ่งที่เป็นสหายของปู่ เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน คือ หลวงปู่คลิ้ง จนฺทสโร อดีตสมภาร วัดถลุงทอง อำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ดังรูปหนึ่งของชาวนครศรีธรรมราช อันเป็นสหายกับพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ นั่นเอง ปู่นับถือพระภิกษุสงฆ์สามรูปนี้มาก บ่อยครั้งที่ปู่ได้นิมนต์ท่านมาที่บ้านไม้หลังนั้น...

ชาวบ้านบาคนเชื่อว่า ปู่ขาบมีคาถาอาคม เป็นคนที่มีเวทมนต์คาถา

ลุงที่อยู่ใกล้บ้านเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อนตอนที่แกเป็หนุ่ม เย็นวันหนึ่ง แกออกไปหาสมุนไพรกับปู่ที่ฝั่งคลอง เวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แต่ปู่และแกก็ยังไม่กลับ เมื่อเวลาย่ำค่ำ แสงมัวซัว แกเห็นสิ่งแปลกปลอมอยู่บนศีรษะ บนต้นไม้ใหญ่เหนือหัวแกเห็นร่างกายสีดำประมาณสี่ห้าตัว กำลังลงมาจากต้นไม้ใหญ่ แกบอกว่า มันเป็นผีป่า ทันใดนั้นด้วยความที่แกตกใจ แกจะออกวิ่งหนี แต่ปู่ไหวตัวทัน จับแกไว้ยืนอยู่กับที่ แกเล่าว่าแก่กลัวจนฉี่ราด..

ปู่ขยับมือแล้วล้วงเข้าไปในย่าม แล้วกำวัตถุบางอย่างขึ้นมากำเอาไว้มือหนึ่ง และเสกเป่าคาถากำกับ จากนั้นก็คว้างไปยังสิ่งแปลกปลอมนั้น ทันใดนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แกเลยตัดบทและฟันธงว่า แกเชื่อว่าปู่มีคาถา เพราะแกเห็นมากับตา

บางคนเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่รอบๆบ้านผม ยังเป็นป่าใหญ่รกทึบ บ้านเรามีโจรชุกชุม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ปู่กำลังนั่งลับคมขวานอยู่ มีโจรคู่อริแอบย่องเข้ามาจะยิ่งปู่ แต่ปู่รู้ตัวก่อนแล้ว ทันใดที่นกปืนดังขึ้น "แชะ" เป็นเวลาเดียวกันกับที่ปู่ก็ท่องคาถา บนพรึมพรำ พร้อมทั้งลับขวานอยู่ตามปกติ นกปืนสับ แต่ลูกปืนด้าน ไม่ปะทุ โจรคู่อริจึงบังกายหนีเข้าป่าไป...เขารู้เรื่องเหตุการณ์เหล่านี้จากใคร ผมไม่อาจรู้ แต่เขาก็เล่าให้ผมไดัฟังเรื่องราวปู่ของผม....



ปู่มักจะมีพฤติกรรมแบบคนมีคาถาอาคม ครั้งหนึ่ง แม่เล่าให้ผมฟังว่า เมื่อถึงวันพระ หรือพระจันทร์เพ็ญ หรือแม้แต่ราหูอมจันทร์ ปู่ผมมักจะออกมากลางลานเรือน พร้อมกับห่อผ้าที่มีพระพุทธรูป ผ้ายันต์ ว่านสมุนไพร และของบางอย่างประจำตัวออกมากองบนผ้าขาว พร้อมกับสวดท่องคาถายัดปลุกเสก ปู่เคยบอกเหตุผลกับแม่ว่า ในช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นฤกษ์ยามดี เป็นมงคลแก่การสวดมนต์ทำพิธีกรรม...

ผมได้ฟังเรื่องราวจากคำบอกเล่า แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมพ่อลุง และพ่อผม จึงไม่ได้รับอะไรๆ ที่เป็นปาฏิหาริย์เหล่านั้นมาเลย ผมจำได้ว่าหลังจากปู่เสียชีวิตไปได้ไม่นาน ห่อผ้าขาวคล้ำมัวผืนนั้นของปู่ขาบถูกเปิดออกโดยญาติผู้ใหญ่ ต่างคนต่างหยิบฉวยของที่คิดว่าเก่า และมีค่าเหล่านั้นไปในวันที่ปู่เสียชีวิตลงอย่างสงบ บนหิ้งนอนของเช้ามืด ผมจำภาพได้ได้ติดตา...ภาพของปู่ของผม

น่าแปลกที่พ่อไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ผมเคยเห็นพ่อมีห่อพระ หุ้มด้วยผ้ายันต์เพียงห่อเล็กๆ ห่อเดียว ก่อนเดินทางไกลก่อนออกนอกบ้าน พ่อจะจบหัวไหว้ แล้วเอาใส่กระเป๋าหน้าอกติดไปกับตัวทุกครั้ง

แม่บอกเล่าว่า ของๆปู่ถูกหยิบออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งมือที่เอ่ยขอและมือที่ถือวิสาสะหยิบเอาออกไปเป็นของตัวดื้อๆ เหลือเพียงของบางอย่างที่เขาดูแล้วไร้ค่าไว้ หลายปีผ่านไปก็ยังคงมีญาติบางคนที่มักคุ้ยกับปู่ขึ้นไปไหว้พระ และเปิดห่อผ้าออก แล้วก็จะขอเอาไปอีก แต่แม่ก็ตัดบทไป แม่บอกเขาไปว่าเป็นของผมที่เก็บเอาไว้ ปัจจุบันน้อยคนนักที่จะล่วงล้ำขึ้นไปบนเขตหิ้งนอน ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นที่นอนของย่า ซึ่งดูเหมือนย่าจะเป็นตัวแทนของปู่ตั้งแต่วินาทีนั้นที่ปู่จากไป จากที่ผมได้ยินเสียงสวดมนต์ตอนเย็นเป็นของชายแก่ ผมกลับได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นเสียงของหญิชราแก่ ซึ่งไม่เคยอ่านหนังสือไทยและหนังสือพระออกสักตัวเดียวก็ว่าได้ เสียงนั้นสืบต่อจากวัยเด็กจนตราบกระทั่งผมโตเป็นหนุ่ม เสียงย่าก็ยังคงแจ่มชัด แจ้วๆอยู่ ผมเคยถามย่าว่า ย่าอ่านหนังสือไม่ออกทำไมย่าจึงท่องมนต์ได้ ย่าตอบว่า ก็ย่านอนฟังปู่สวดทุกเช้าทุกค่ำ ทำไมจะจำไม่ได้...



มาถึงวันนี้ ภาพของปู่ขาบนั้น ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึกของผม ปู่จะเป็นใครมาจากไหน มีคาถาอาคมหรือไม่ อย่างไรก็ตามที แต่บางสิ่งบางอย่างของตัวปู่ได้มีอยู่ในตัวของผมแล้ว....

...เรื่องราวของปู่ขาบเป็นเพียงประวัติของบุคคลคนหนึ่ง ที่ก่อเกิดขึ้น แต่ก็ได้ฝากร่องรอยและเรื่องเล่าไว้บนผืนแผ่นดินนี้ ถึงแม้นปู่ขาบอาจจะเป็นคนธรรมดาทั่วไป เสมือนเมล็ดทรายที่ดูไร้ค่า สำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผม ช่างมีค่าเกินจะหาสิ่งใดในโลก มาเปรียบค่าได้

ผมเชื่อว่าเรื่องราวของคนๆหนึ่ง จะบ่งบอกที่ไปที่มา บอกวิถีทางของสังคม และบอกที่มาของลูกหลานไว้ภาคภูมิใจ ว่าเราก็มีเรื่องราวไว้เล่าขานจริงๆบนแผ่นดินนี้ และชีวิตหนึ่งก็เคยเกิดขึ้นจริงบนมาตุภูมิแดนเกิดของเรา...





"ปู่ขาบ" คือบรรพชนของเรา

สถิตย์ภูมิ

ณ ศูนย์การเรียนรู้ทุ่งสักอาศรม

อ. อู่ทอง สุพรรณบุรี


อยาก บอกว่า ดีใจมากที่พบ บทความนี้ อย่าง น้อย ลูกหลาน ก็ได้ อ่าน ประวัติ ของปู่
จึงขอ เป็น ส่วนหนึ่ง ที่ช่วย บันทึก ความทรงจำนี้ไว้ ด้วย คน

ขอขอบคุณ เจ้าของ บทความด้วยหัวใจ >>ปู่สถิตย์ภูมิ

http://www.oknation.net/blog/sathitpum/2008/07/24/entry-1

จาก เหลน โหลน กาธิกาล