Tuesday, April 5, 2011

วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี

… พระเมตตาคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์จัดเป็น อัปปมัญญา คือไม่จำกัดขอบเขต ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ถือเขาถือเรา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้น คนไทยทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะเป็นชาวเขาชาวเรา ชาวพุทธชาวมุสลิมต่างก็รักในหลวง วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี เป็นสักขีพยานที่ดีในเรื่องพระเมตตาคุณไม่จำกัดขอบเขตนี้














…วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้เฒ่าวัย ๙๒ ปี แห่งอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เล่าว่า เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งมาตามที่บ้านบอกให้เขาไปพบในหลวง ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ อำเภอสายบุรี วาเด็ง ปูเต๊ะจึงได้เฝ้าในหลวงเป็นครั้งแรก เขาเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ดังนี้



“ตอน นั้นผมทราบแล้วว่า เป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า เพราะว่า นุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่า ถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ผมบอกท่านว่า คลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขตตำบลแป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที อำเภอศรีสาคร ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ ผมก็ตอบท่านไปว่า มี ๔ เกาะ ท่านก็ชมว่าเก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย แล้วบอกว่า ผมรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่ผมบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว …ในหลวงคุยกับผมเป็นภาษามลายู ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี คุยกันก็เข้าใจเลย พอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับผมเป็นพระสหาย ผมบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไปทั้งหมดเป็นความจริง พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป ”

วาเด็ง ปูเต๊ะ





โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)



————————————







เมื่อวันที่ 26 กันยายน บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช นายวาเด็ง ปูเต๊ะ หรือ “เป๊าะเด็ง” อายุ 93 ปี หรือที่รู้จักในนาม “พระสหายแห่งสายบุรี” พระสหายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินทางโดยเครื่องบินจากบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมาลงนามถวายพระพร





ทั้งนี้ นายอับดุลเลาะ อาแว หลานชายของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ซึ่งเดินทางมาด้วยกัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลและแปลภาษา บอกว่า ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 09.00 น. เมื่อมาถึงสนามบินดอนเมืองก็เดินทางโดยรถยนต์มาที่ศาลาศิริราช 100 ปี วันนี้เป๊าะเด็งเลือกสวมชุดซาฟารีสีกรมท่า และติดเข็มตราสัญลักษณ์ครองราชย์ 60 ปี ที่อกเสื้อด้านขวา และใช้วิธีลงนามถวายพระพรด้วยการพิมพ์นิ้วโป้งมือข้างขวาลงบนสมุดลงนามถวายพระพร แล้วให้ตนเขียนชื่อวาเด็งกำกับอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถเขียนภาษาไทยได้



หลังจากนายวาเด็งแสดงความเคารพต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว พระสหายแห่งสายบุรีก็เผยความรู้สึกเป็นภาษายาวี โดยมีหลานชายเป็นคนแปลให้ ว่า ทราบข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรจากทางโทรทัศน์ รู้สึกตกใจมาก หลังจากทราบข่าวก็สวดดูอาร์ขอพรจากพระเจ้าหลังละหมาดทุกครั้ง เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหายจากพระอาการประชวร
พระสหายแห่งสายบุรี


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้นำอะไรมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีโอกาสมาร่วมถวายพระพรหรือไม่ นายวาเด็ง ตอบว่า “ตอนแรกตั้งใจจะนำทุเรียนและลองกองที่ปลูกไว้ในสวนอย่างละ 3 ต้น มาทูลเกล้าฯ ถวาย แต่เสียดายที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ผลไม้ไม่ออกผลตามฤดูกาล” “ไม่ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3-4 ปีแล้ว ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวร บอกไม่ถูกว่าเป็นห่วงอย่างไร แต่อยากมาเข้าเฝ้าฯ บ่อยขึ้น วันนี้ที่ได้มาลงนามถวายพระพรก็รู้สึกเหมือนได้พบพระพักตร์แล้ว คิดถึงและเป็นห่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก เมื่อรู้ว่าจะได้มากรุงเทพฯ เพื่อถวายพระพรรู้สึกตื่นเต้น นอนไม่หลับ ตนและภรรยาก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคชราเช่นกัน จึงตั้งใจว่าจะพักอยู่กรุงเทพฯ ต่ออีก 1-2 วัน และหากเป็นไปได้อยากอยู่รอจนถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ จากนั้นจึงค่อยเดินทางกลับบ้านที่ จ.ปัตตานี ส่วนที่ได้ฉายา “พระสหายแห่งสายบุรี” นั้น ส่วนตัวเห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีใจและภาคภูมิใจที่สุดอย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้” นายวาเด็งกล่าว


สำหรับ “วาเด็ง ปูเต๊ะ” หรือ “เป๊าะเด็ง” เป็นพระสหายแห่งสายบุรี แม้ในวัย 93 ปี แต่ความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณไม่เคยเสื่อมคลาย ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 15-16 ปีที่แล้ว ขณะที่ “เป๊าะเด็ง” กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้นได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ผู้เฒ่าเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี “วันนั้น เป๊าะ กำลังทำสวนอยู่กับภรรยา (นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ) บริเวณประตูน้ำบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอเป็นป่าทึบ ก็มีคุณหญิงคนหนึ่งมาบอกว่า ในหลวง ต้องการพบตัวแต่ภรรยาไม่กล้าไปพบ จนกระทั่งเป๊าะเลี้ยงโคกลับมา ก็มีตำรวจมาตามเป็นครั้งที่สอง เป๊าะ ตกใจมากว่าตำรวจมาตามเรื่องอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งสื่อสารกันเข้าใจว่า ในหลวง ต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ ต.แป้นอ.สายบุรี เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร เป๊าะ ถึงกล้าไปพบ แต่ตอนนั้น เป๊าะ ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว เป๊าะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็น ในหลวง จริงหรือเปล่า จึงแอบหยิบเงินใบละ 100 บาท กับใบละ 20 บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ดาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี






ตอนแรกที่พบ ในหลวง เป๊าะ ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ๆ เพราะตอนนั้นนุ่งโสร่งตัวเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ในหลวงก็ตรัสเป็นภาษามลายูว่า จะสร้างคลองชลประทานให้ หลังจากนั้น ในหลวง ท่านก็ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จว่ามีเขตติด ต่อที่ไหนบ้าง จึงได้เล่าให้ในหลวงทรงทราบว่าคลองเส้นนี้ทางเหนือจะติดเขตพื้นที่ อ.ศรีสาครจ.นราธิวาส ในหลวง ตรัสถามว่าหากออกไปทางทะเลจะมีเกาะกี่เกาะ เป๊าะ ก็ตอบพระองค์ไปว่ามี 4 เกาะ ในหลวง จึงทรงเอาแผนที่ที่นำติดตัวมาออกมาดูอีกครั้ง และตรัสชมว่า วาเด็งเป็นคนรู้พื้นที่จริง…เหมือนกับชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่พระองค์ เคยเข้าไปช่วยเหลือมาแล้ว พระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ไม่ว่าจะไปช่วยใครที่ไหนก็ต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน…เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น”



วันรุ่งขึ้นข้าราชการที่มารับเสด็จก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้ เป๊าะ พายเรือให้พระองค์เพื่อทำการสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ พระองค์มีพระราชดำรัสถาม พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างแหล่งชลประทานอย่างไร ตอนพายเรืออยู่ ในหลวง ตรัสด้วยว่า “ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย…มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง” เป๊าะ จึงบอก ในหลวง ว่าเมื่อถึงเวลาหน้าฝน น้ำจะท่วม ทำนาไม่ได้ เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็ทำนาไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน พระองค์ก็ตรัสกับ เป๊าะ อย่างไม่ถือพระองค์และตรัสถามอีกว่า ชาวบ้านทำการเกษตรอะไรบ้าง เป๊าะ จึงตอบพระองค์ไปว่าชาวบ้านไม่เดือดร้อนอะไร ทุกคนทำการเกษตรตามวิถีชีวิตของคนชนบท คือ ปลูกพืชผักสวนครัว และทำสวนไว้กินกันทุกบ้าน จากนั้น ในหลวง คงจะทรงลองใจเป๊าะ จึงตรัสถามขอที่ดินเพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม เป๊าะ จึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวง จึงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ เป๊าะ เป็น “พระสหาย” ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวง ตรัสเรื่องนี้ว่า “วาเด็งเป็นคนซื่อตรง…จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง” พร้อมทรงชวนให้ เป๊าะ และภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จฯ มาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้งล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพของ เป๊าะ กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย” วาเด็ง ปูเต๊ะ เล่าถึงเหตุการณ์วันที่ได้รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่คาดฝัน จนกระทั่งได้กลายมาเป็น “พระสหาย” แห่งสายบุรี ในเวลาต่อมาวาเด็ง ปูเต๊ะ บอกอีกว่า ตอนที่ไม่มีทีวีให้ดู เวลาอยากเห็นหน้า ในหลวง ก็จะหยิบเงินมาดูก็พอหายคิดถึงได้บ้าง พอมีทีวีแล้วก็จะรอดูแต่ข่าวในพระราชสำนักทุกวัน แต่พอพระองค์ทรงพระประชวรก็ต้องมาตามดูข่าวในพระราชสำนักตอนกลางวัน และตอนค่ำด้วย







ต่อมา ในหลวง ทรงสงสารจึงมอบเงินให้ เป๊าะ ครั้งละหลายหมื่นบาท หากไม่ได้เสด็จฯ มาก็ทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง


-----------------------------------------------------------------------------

2 comments:

  1. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  2. T_T
    ซาบซึ้งมากมายค่ะ
    อยากให้ทุกคนทั่วประเทศไทยเข้าใจและเห็นใจคนใต้และคนศาสนาอิสลาม
    ว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่าได้เกลียดกันเลย
    ขอร้องน่ะค่ะ อย่าได้หมิ่นศาสนาอิสลามเลยค่ะ
    ทุกศาสนาย่อมมีความเชื่อของตัวเอง
    และเราก็รักกันได้ไม่มีการแบ่งแยกศาสนาค่ะ :)

    รักในหลวงตลอดไปค่ะ

    ReplyDelete